Second Wine แปลตรงตัวได้ว่า ‘ไวน์ตัวที่สอง’ เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการที่ทำให้คุณสามารถสัมผัสไวน์ Chateau บอร์โดซ์ ท็อปเกรด หรือไวน์จากวินยาร์ดดังๆ ทั่วโลก โดยที่กระเป๋าตั้งไม่ฉีกครับ ฉะนั้น Second Wine คืออะไร? หมายความว่าเป็นไวน์รอง ที่คุณภาพไม่ดีรึเปล่า? มาหาคำตอบกันเลยครับ
Second Wine คือ?
คอนเซ็ปต์ของไวน์ตัวที่สองนี้เริ่มต้นที่บอร์โดซ์ แต่ปัจจุบันวินยาร์ดดังๆ ทั่วโลกก็มี second wine ของตนเองแทบทั้งหมด (ยกตัวอย่าง Super Tuscan ดังๆ ของอิตาลี) แต่บทความนี้ผมจะขอพูดถึงบอร์โดซ์เป็นหลักนะครับ โดยส่วนมากวินยาร์ดดังๆ ของบอร์โดซ์จะนำองุ่นที่คุณภาพเยี่ยม มาใช้ทำเป็นบอร์โดซ์เบลนด์ประจำวินยาร์ดของตนเองเท่านั้น ซึ่งไวน์ตัวนี้จะเป็นเหมือน ‘flagship’ หรือไวน์ชูโรงประจำวินยาร์ด ซึ่งจะถูกเรียกว่า ‘Grand Vin’ โดยองุ่นที่สุกพอดีที่สุด ในโลเคชั่นที่ดีที่สุด จะถูกแยกเก็บด้วยมือออกมาทำ Grand Vin
แล้วเกิดอะไรขึ้นกับองุ่นที่เหลือล่ะครับ? คำตอบคือองุ่นที่เหลือจะถูกใช้ทำ second wine โดยส่วนมากองุ่นที่ใช้ผลิต Grand Vin และ 2nd Wine จะมาจากวินยาร์ดเดียวกัน แต่องุ่นที่นำมาทำ 2nd wine อาจมาจากเถาองุ่นที่เด็กกว่า หรือยังไม่ค่อยสุกงอมเท่าที่ควร แต่คุณภาพขององุ่นยังจัดว่าดีมากๆ อยู่นะครับ จนพูดได้เลยครับว่า 2nd Wine ของวินยาร์ดดังๆ ระดับ first growth อย่าง Carruades de Lafite จาก Lafite Rothschild ไปจนถึง Les Forts de Latour จาก Chateau Latour หรือ Echo de Lynch Bages จาก Chateau Lynch Bages จะมีคุณภาพดีกว่าท็อปไวน์ของวินยาร์ดรองๆ อีกนะครับ ด้วยราคาที่ไม่แพงเท่า Grand Vin แต่ก็ยังถือว่าราคาค่อนข้างสูง ระดับพันถึงหมื่นบาทได้เลยครับ
Second Wine เป็นแผนการตลาดรึเปล่า?
คำตอบคือไม่ใช่ครับ! โดยความจริงแล้ววินยาร์ดดังๆ ทั้งหลายไม่เคยโปรโมท 2nd Wine เลย แต่จะเน้นขายไวน์ Grand Vin ของตนเองมากกว่า
โดยมีต้นกำเนินย้อนกลับไปยาวนานตั้งแต่ปี 1800 ซึ่งความจริงอาจมีมายาวนานกว่านั้นมาก แต่จะขายในท้องถิ่นเท่านั้น ฐานะไวน์ที่เกรดต่ำๆ ลงมาหน่อย โดยวินยาร์ดแรกที่นำเสนอ 2nd Wine อย่างโจ่งแจ้งคือ Château Pichon-Longueville Comtesse de Lalande ซึ่งได้เสนอขาย 2nd Wine ในงานประมูลไวน์ที่มอสโคปี 1874
หลังจากนั้น วินยาร์ดอื่นๆ ก็เริ่มมีการนำไวน์ตัวที่สองออกมาขายติดๆ กันเลยครับ ตั้งแต่ Léoville Las Cases, Château Margaux และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งเป็นช่วงที่ไวน์จากบอร์โดซ์ราคาพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ จึงเป็นโอกาสที่เหมาะมากๆ สำหรับการออกไวน์ตัวที่สอง ที่ราคาต่ำลงมาหน่อย แต่ก็ยังคงคุณภาพยอดเยี่ยมตามสไตล์ของผู้ผลิตนั้นๆ
วิธีการผลิต 2nd Wine
วิธีการผลิตก็จะขึ้นอยู่กับแต่ละวินยาร์ด ดังนี้ครับ
ใช้องุ่นจากวินยาร์ดเดียวกัน แต่เป็นการคัดเลือก แยกองุ่นด้วยมือของผู้ผลิตที่มากประสบการณ์จนสามารถรู้ได้ว่าองุ่นไหนผ่านเกณฑ์ องุ่นจากเถาไหนที่ดี สมบูรณ์ เหมาะแก่การนำไปทำ Grand Vin ส่วนองุ่นที่เหลือจะนำมาใช้ทำ 2nd Wine ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นองุ่นที่คุณภาพไม่ดีนะครับ เพียงแค่ไม่ใช่เกรดดีที่สุดเท่านั้นเองครับ
- แตกต่างกันที่วิธี และระยะเวลาในการเอจ โดย 1st Wine อาจถูกเอจในถังโอ๊คใหม่ทั้งหมด เป็นระยะเวลา 18 เดือน ส่วนไวน์ตัวที่สองถูกแบ่งออกไปเอจในถังไม้โอ๊คใช้แล้ว 50% เอจประมาณ 6 เดือน เป็นต้น
- บางวินยาร์ดจะแยกพื้นที่ปลูกกันไปเลยระหว่าง 2nd Wine และ Grand vin เพื่อทำให้ง่ายต่อการควบคุมคุณภาพ และสร้างความแตกต่างที่จัดเจนระหว่างไว์ทั้ง 2 ตัว ซึ่งวินยาร์ดดังๆ หลายเจ้าใช้วิธีนี้ครับ เช่น Château Latour หรือ Château Pichon Longueville Baron เป็นต้น
- ยิ่งตอนนี้ ไวน์บอร์โดซ์ดังไปทั่วโลก ความต้องการสูงขึ้น จึงทำให้มีการแบ่งเกรดไวน์เจาะผู้บริโภคมากขึ้น ไวน์บอร์โดซ์บางตัวจึงไม่ได้มีแค่ 2nd Wine นะครับ แต่มีไปถึง 3rd Wine และ 4th Wine เลยครับ
อ้างอิงข้อมูลจาก
4 เหตุผลที่ไวน์บนเครื่องบินมีรสชาติแย่ลง
อากาศบนเครื่องบินนั้นแห้ง