Oktoberfest เทศกาลพื้นบ้านของชาวบาวาเรียนที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในกรุงมิวนิค ประเทศเยอรมัน เทศกาลการดื่มเบียร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่มีกิจกรรมทางวัฒนธรรมสไตล์บาวาเรียนทั้งการแต่งกาย อาหารและเครื่องเล่นต่างๆ มากมาย จึงเป็นหนึ่งในเทศกาลที่ได้รับความนิยมจากผู้คนทุกเพศทุกวัย
อ็อกโทเบอร์เฟสต์
เป็นเทศกาลประจำปี จัดขึ้นเป็นเวลา 16 วัน ในเมืองมิวนิก ประเทศเยอรมนี จัดขึ้นปลายเดือนกันยายนถึงต้นเดือนตุลาคม ถือเป็น 1 ในเทศกาลที่มีชื่อเสียงที่สุดในเยอรมนีและเป็นเทศกาลที่ใหญ่ที่สุดของโลก กับผู้เข้าร่วมเทศกาล 6 ล้านคนทุกปี และมีความสำคัญต่อวัฒนธรรมของบาเยิร์น เทศกาลดั้งเดิมจัดขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม ค.ศ. 1810 โดยจัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองงานอภิเษกสมรสระหว่างมกุฎราชกุมารลุดวิคกับเจ้าหญิงเทเรซ
เทศกาลอ็อกโทเบอร์เฟสต์ จัดขึ้นเป็นเวลา 16 วัน จนถึงในวันอาทิตย์แรกของเดือนตุลาคม ในปี ค.ศ. 1994 มีการปรับเปลี่ยนเวลาหลังการรวมตัวของเยอรมนีตะวันตก-ออก ว่าถ้าวันอาทิตย์แรกของเดือนตุลาคม ตกที่วันที่ 1 หรือ 2 เทศกาลจะไปต่อถึงวันที่ 3 ตุลาคม (วันรวมประเทศ) ทำให้มีจำนวนวัน 17 วัน หากวันอาทิตย์เป็นวันที่ 2 และเป็น 18 วันหากวันอาทิตย์เป็นวันที่ 1 เทศกาลจัดขึ้นในบริเวณที่เรียกว่า Theresienwiese หรือเรียกสั้น ๆ ว่า Wiesn
จุดเริ่มต้นของ Oktoberfest เดิมเป็นการแข่งขันม้า
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าที่มาของเทศกาลดื่มเบียร์นี้มากจากการที่ Andreas Michael Dall’Armi สมาชิกของ Bavarian National Guard มีความคิดที่จะเฉลิมฉลองงานแต่งงานของเจ้าชาย Ludwig แห่งบาวาเรีย ซึ่งต่อมาคือ King Ludwig I และ Princess Therese of Saxony-Hildburghausen ให้มีความแตกต่างไปจากเดิม โดยให้มีการแข่งม้าครั้งใหญ่เพื่อเฉลิมฉลอง
เมื่อ King Max I Joseph of Bavaria พระบิดาของเจ้าชายได้ฟังไอเดียนี้ ก็ทรงเห็นด้วยและอนุญาตให้จัดงานขึ้นจนทั้งคู่แต่งงานกันในวันที่ 12 ตุลาคม ค.ศ. 1810 โดยมีงานเฉลิมฉลองที่จัดขึ้นในวันที่ 17 ตุลาคม เมื่อกว่า 200 ปีที่แล้ว ที่ทุ่ง Theresienwiese ซึ่งภายหลังได้รับการตั้งชื่อตามเจ้าสาว และถึงแม้ตอนนั้นจะยังไม่มีเต็นท์เบียร์หรือเครื่องเล่นมากมายอย่างปัจจุบัน แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของเทศกาล
โดย ในปี ค.ศ. 1824 เมืองมิวนิกได้มอบรางวัลเหรียญทองให้กับ Andreas Michael Dall’Armi เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ก่อกำเนิด Oktoberfest ต่อมาเมื่อ Andreas Michael Dall’Armi ได้จากโลกนี้ไป เขาถูกฝังไว้ที่สุสาน Alter Südfriedhof และถนนแห่งหนึ่งในย่าน Neuhausen-Nymphenburg ซึ่งต่อมาได้รับการตั้งชื่อตามชื่อของเขาอีกด้วย
หนึ่งปีหลังจากการเฉลิมฉลองงานแต่งงานของเจ้าชาย ชาวเมืองต่างเห็นพ้องต้องกันว่าต้องการให้งานนี้ดำเนินต่อไปแม้จะไม่ได้มีพิธีเสกสมรสก็ตาม และในที่สุด ‘Landwirtschaftlicher Verein in Bayern’ หรือสมาคมเกษตรกรรมแห่งบาวาเรียก็ได้รับมอบหมายให้เป็นเจ้าภาพผู้จัดงานเทศกาลนี้ โดยพวกเขาได้ใช้เทศกาลเป็นที่โปรโมทสินค้าของสมาคม
ในปี 1813 เทศกาล Oktoberfest ที่เพิ่งจัดขึ้นได้ 13 ปี ต้องถูกยกเลิกเป็นครั้งแรกเนื่องจากสงครามนโปเลียน แต่หลังสงคราม Oktoberfest ได้กลับมาจัดอีกครั้ง โดยมีกลุ่มคนเก่าแก่ในเมืองเป็นผู้สนับสนุน ทำให้เทศกาลนี้ได้รับความนิยมสูงสุดในปี 1819 เรียกได้ว่า ดังเป็นพลุแตกในปี 1819
ต่อมาในปี ค.ศ. 1850 ได้มีการเปิดตัวรูปปั้นบาวาเรีย ซึ่งเป็นดังผู้พิทักษ์รักษาและปกป้องคุ้มครองเทศกาล Oktoberfest โดยได้ประดิษฐานไว้ในหอเกียรติยศซึ่งใช้เป็นที่จัดการแสดงต่างๆ ของเทศกาลในปัจจุบัน นับจากนั้นประวัติศาสตร์ของบาวาเรียได้ผ่านช่วงเวลาแห่งความยากลำบากของสงครามและโรคระบาด เช่น อหิวาตกโรค ทำให้จิตวิญญาณแห่งเทศกาลได้ลดน้อยถอยลงไป เป็นเวลาอีกสองสามทศวรรษก่อนที่ Oktoberfest จะก้าวมาเป็นเทศกาลที่มีสีสันและเป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
ในปี 1910 เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปีของเทศกาล Oktoberfest ได้มีการเสริฟเบียร์ 12,000 เฮกโตลิตรที่ Pschorr-Bräurosl ซึ่งเป็นเต็นท์สำหรับเทศกาลขนาดใหญ่ที่จุคนได้มากถึง 12,000 คน
ความสนุกอยู่ที่ตอนเริ่มงาน ‘O’ Zapft is’ = Let’s the party begins
ในส่วนของการเริ่มต้นงานหรือพิธีการในการเปิดงานเทศกาล Oktoberfest ที่สืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน เกิดขึ้นภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1950 โดยนายกเทศมนตรีเมืองมิวนิก Thomas Wimmer ได้ทำพิธีเปิดเทศกาลนี้อีกครั้ง หลังจากที่ต้องหยุดไปเนื่องจากภาวะสงคราม โดยการใช้ค้อนไม้ขนาดใหญ่เคาะก๊อกเข้าไปที่ถังเบียร์ถังแรกในเต็นท์ Schottenhamel
เมื่อก๊อกสามารถแทรกตัวฝังเข้าไปในถังเบียร์ได้ จะมีการตะโกนว่า “O’ Zapft is” ซึ่งเป็นภาษาบาวาเรียมาจากคำเต็มว่า “Es ist angezapft” โดยมีความหมายตามตัวอักษรคือ “มันได้รับการเคาะแล้ว” หากความหมายที่แท้จริงที่ใช้ในงานเทศกาล Oktoberfest คือ “ได้เวลาปาร์ตี้แล้ว!” ถือเป็นสัญญาณการเริ่มต้นของเทศกาลพื้นบ้านที่ใหญ่ที่สุดในโลกนับจากนั้นเป็นต้นมา
ซึ่งโดยประเพณีแล้วนายกเทศมนตรีจะมอบเบียร์แก้วแรกที่ไขจากก๊อกที่ถูกทุบเข้าไปในถังเบียร์ ให้กับรัฐมนตรี-ประธานาธิบดีแห่งบาวาเรีย (Ministers-President of Bavaria) จากนั้นดอกไม้ไฟก็ถูกจุด และผู้ร่วมงานก็จะยกแก้วขึ้นชนกันแล้วพูดว่า “Auf ‘ne friedliche Wiesn” ซึ่งหมายถึง ‘แด่เทศกาล Oktoberfest ที่สงบสุข’ นั่นเอง
ในปัจจุบันนี้ Oktoberfest เป็นเทศกาลพื้นบ้านที่ใหญ่ที่สุดในโลกและมีผู้เข้าชมประมาณหกล้านคนต่อปี ในแต่ละปี ยังคงมีการทำลายสถิติใหม่อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปริมาณเบียร์ที่บริโภคไปจนถึงจำนวนไก่ที่ขายได้ในงาน
ในปี ค.ศ. 2005 ได้มีการปรับรูปแบบให้เป็น ‘เทศกาล Oktoberfest อันเงียบสงบ’ (‘a quiet Oktoberfest’) เพื่อทำให้เทศกาลนี้มีความเหมาะสมและน่าสนใจยิ่งขึ้นสำหรับสมาชิกทั้งครอบครัว โดยให้สามารถเปิดเพลงปาร์ตี้ได้เฉพาะหลังเวลา 18.00 น. เท่านั้น ส่วนช่วงก่อนหน้า 18.00 น ให้เล่นได้เฉพาะเพลงจากวงดนตรีบาวาเรียที่มีลักษณ์เป็นวงเครื่องเป่าทองเหลืองเท่านั้น
5 สิ่งที่จะได้สัมผัสเมื่อเดินทางไปร่วมงาน Oktoberfest
1.) ขบวนพาเหรดของแลนด์ลอร์ดและโรงเบียร์
ขบวนพาเหรดประกอบด้วยผู้เข้าร่วมประมาณ 1,000 ประกอบด้วยแลนด์ลอร์ดและโรงเบียร์ใน Wiesn โดยจะเริ่มเดินจาก Theresienwiese นำโดย กลุ่มเยาวชนของมิวนิก (Münchner Kindl) มาสคอตประจำเมืองและขบวนรถม้าของนายกเทศมนตรีเมืองมิวนิก ตามด้วยรถม้าที่ประดับประดาด้วยดอกไม้ของแลนด์ลอร์ด วงดนตรี และรถลากของโรงเบียร์ในมิวนิกที่ประดับประดาอย่างสวยงาม
2.) Tapping Ceremony ประเพณีการเคาะถังเบียร์
ตามประเพณีที่มีมายาวนาน ถังเบียร์ถังแรกจะถูกเคาะที่เต็นท์ของ Schottenhamel เสมอ โดย นายกเทศมนตรีเมืองมิวนิกจะใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ในการเคาะก๊อกโดยฆ้อนไม้ขนาดใหญ่เข้าไปในถังเบียร์โดยทุบให้ได้น้อยครั้งที่สุดเท่าที่จะทำได้
สถิติปัจจุบันสำหรับพิธีเคาะก๊อกที่ดีที่สุดคือ สองครั้ง โดยอดีตนายกเทศมนตรีเมืองมิวนิก Christian Ude และ Dieter Reiter สำหรับสถิติสูงสุดเป็นของ Mayor Thomas Wimmer ซึ่งเป็นนายกเทศมนตรีที่เป็นผู้ริเริ่มพิธีการนี้เป็นคนแรกในปี 1950 เคาะไปทั้งสิ้น 17 ครั้ง ภายหลังพิธีเคาะถังเบียร์ จะมีการจุดพลุ และเบียร์ก็จะเริ่มถูกรินแจกจ่ายไปให้ผู้เข้าร่วมงานในแต่ละเต็นท์
3.) การแสดงสดคอนเสริตแตรวงโยธวาทิต
นักดนตรีประมาณ 300 คนแต่งชุดประจำชาติในแบบบาวาเรียเต็มยศ มาร่วมแสดงการสดที่บริเวณรูปปั้นบาวาเรีย โดยมีนายกเทศมนตรีเป็นวาทยากรของวงที่คัดเลือกเล่นบทเพลงบาวาเรียที่มีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมมากที่สุด นอกจากนี้ยังมีนักแสดงรับเชิญจากคณะนาฏศิลป์ Schuhplattler เป็นต้น และมีการปล่อยลูกโป่งหลากสีสันจำนวนนับพันลูกขึ้นสู่ท้องฟ้าต่อหน้ารูปปั้นบาวาเรีย ในขณะที่ผู้ชมร่วมกันร้องเพลงประจำชาติของบาวาเรียจนสุดเสียง
4). เต็นท์เบียร์
เต็นท์เบียร์ขนาดใหญ่ภายในงานมีหลากหลายรูปแบบต่างกันไปตามการตกแต่ง ซึ่งแต่ละเต็นท์จะมีเอกลักษณ์และบรรยากาศที่เป็นแบบฉบับของตัวเอง จากแบบดั้งเดิมไปจนถึงแบบนานาชาติให้ผู้ร่วมงานเลือกได้ตามอัธยาศัย เต็นท์ที่มักเป็นที่นิยม ได้แก่
- Augustiner Festhalle เป็นเต็นท์ที่เหมาะสำหรับผู้ร่วมงานที่มาเป็นครอบครัวภายใต้บรรยากาศเก่าแก่ดั้งเดิม และบริกรที่เอาใจใส่เป็นพิเศษ เบียร์ Augustiner มาจากโรงเบียร์ที่เก่าแก่ที่สุดในมิวนิกซึ่งก่อตั้งโดยพระออกัสติเนียนในปี 1328 โรงเบียร์แห่งนี้ขึ้นชื่อว่ามีเบียร์ไลท์ (Helles) ที่มีรสชาติดีที่สุดในมิวนิก เป็นที่นิยมมาก เพราะถูกบรรจุในถังไม้แบบดั้งเดิมที่มีความจุ 200 ลิตร ซึ่งจะทำให้มีรสชาติกลมกล่อมกว่าเบียร์ที่บรรจุอยู่ในภาชนะที่เป็นโลหะ
- Festzelt Tradition หรือ The “Oide Wiesn” เป็นเต๊นท์ที่เน้นวัฒนธรรมประเพณี แม้จะมีสีสันน้อยกว่าเต็นท์อื่น แต่ที่นี่มีบรรยากาศสบาย ๆ และเป็นกันเองราวกับเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน จุดเด่นของเต็นท์ คือ ฟลอร์เต้นรำที่ยกสูงตั้งอยู่กลางเต็นท์ โดยจะมีกลุ่มนักเต้นพื้นเมืองเต้นรำไปพร้อมกับการบรรเลงเพลงจากวงเครื่องเป่า และจะมีเด็ก ๆ เป็นแขกพิเศษขึ้นไปเต้นรำด้วยอย่างสนุกสนาน ไฮไลท์ของการแสดง คือ วง Schuhplattler และนักหวดแส้ ที่นำศิลปะการหวดแส้มาผสมผสานเข้ากับการแสดงได้เป็นอย่างดี สุดเด่นอีกอย่าง คือ เบียร์ Augustiner จะถูกเสริฟโดยเหยือกหินสีเทาอ่อนที่ตกแต่งเป็นลวดลายต่างๆ สีน้ำเงิน แตกต่างจากภาชนะที่เต็นท์อื่นๆใช้ เพื่อคงความดั้งเดิมไว้ และยังมีน้ำ apple spritzer ที่แสนอร่อยไว้เสริฟเด็กๆ เวลาที่เต้นกันจนเหนื่อยอีกด้วย
- Fischer–Vroni จุดเด่นของเต็นท์นี้คือ Fish on Stick แบบดั้งเดิมที่มีชื่อเสียงโด่งดังด้านรสชาติความอร่อยของปลารมควันที่เรียกว่า Steckerlfisch ลักษณะ คล้ายปลาเสียบไม้ โดยจะใช้ปลาหลักๆ สองประเภท คือ ปลาแมคเคอเรล และปลาเทราท์ภูเขา ปลาจะถูกจัดเตรียมบนเตาย่างแบบเปิดที่มีความยาวรวมประมาณ 15 เมตร ให้ผู้มาเยือนได้เห็นวิธีทำกันสดๆ และยังเสริฟเบียร์ Augustiner จากถังไม้ด้วย เต็นท์นี้ยังได้รับความนิยมให้เป็นที่นัดพบของชาวบาวาเรีย LGBTQ จนเป็นประเพณีเนื่องจากในอดีตเจ้าของบาร์ Prosecco ซึ่งเป็นเกย์ผู้ล่วงลับไปแล้วมักจะจองโต๊ะไว้จำนวนมากสำหรับแขกของเขาทุกปี
- Hacker–Festzelt เต็นท์นี้ได้รับการออกแบบอย่างวิจิตรงดงามราวกับ “สวรรค์แห่งบาวาเรีย” Hacker-Festzelt มักจะเป็นหนึ่งในเต็นท์ที่เต็มก่อนใครเพราะความสวยงามอย่างน่าตื่นตาตื่นใจภายในมีคานไม้ขนาดใหญ่ของโครงสร้างหลังคาใน Hacker Festzelt ถูกห่อหุ้มด้วยผ้าสีฟ้าอ่อนโปร่งแสงจนทำให้รู้สึกเหมือนกำลังนั่งอยู่ใต้ท้องฟ้าสีครามสลับกับปุยเมฆสีขาวซึ่งไม่เหมือนที่เต็นท์อื่น ที่พิเศษสุดคือในวันอาทิตย์สุดท้ายของงานเต็นท์จะถูกประดับประดาไปด้วยดวงไฟที่เปล่งประกายระยิบระยับ โดยผู้ร่วมเต็นท์จะถือดอกไม้ไฟเย็นเป็นการสั่งลาก่อนจะกลับมาพบกันใหม่ในปีหน้า
นี่เป็นเพียงตัวอย่างของเต็นท์เบียร์ภายในงานซึ่งมีกว่า 30 หลัง ในจำนวนนี้มีอยู่ 15 หลัง ที่เป็นเต็นท์ขนาดใหญ่สามารถรองรับผู้คนได้มากกว่า 3,000-10,000 คน สิ่งสำคัญคือสำหรับเต็นท์ที่ได้รับความนิยมสูง ควรจองโต๊ะล่วงหน้า 6-12 เดือน ดังนั้นจึงควรศึกษาหาข้อมูลของเต็นท์ที่ตรงกับความชอบและรสนิยม
5.) Carnival Games Area
บริเวณทางฝั่งตะวันออกและทางใต้สุดของพื้นที่งานจะเต็มไปด้วยเครื่องเล่นขนาดใหญ่ราว 130 เครื่องเล่น บูธเกมส์ ชิงช้าสวรรค์ การแสดงรื่นเริง แผงขายอาหารเครื่องดื่ม และเครื่องเล่นที่โด่งดังคือ Teufelsrad (Devil’s Wheel) ซึ่งสร้างขึ้นในปี 1908 ลักษณะเป้นเครื่องเล่นที่ผู้เข้าร่วมนั่งตรงกลางวงล้อหมุนเพื่อแข่งกันให้อยู่บนนั้นได้เป็นคนสุดท้ายในขณะที่ล้อหมุนเร่งความเร็วอย่างต่อเนื่องและคนเล่นที่จะถูกแรงเหวี่ยงหลุดออกไปจากวงล้อทีละคน
เครื่องเล่นที่มักได้รับความนิยมที่สุด คือ รถไฟเหาะขนาดใหญ่ ที่ทำเป็นรูป 5 ห่วงขนาดใหญ่เพื่อจำลองสัญลักษณ์ Olympic Rings ในขณะที่เมืองมิวนิกจัดการแข่งขันโอลิมปิคในปี 1972 นั่นเอง
อ้างอิงข้อมูลจาก
4 เหตุผลที่ไวน์บนเครื่องบินมีรสชาติแย่ลง
อากาศบนเครื่องบินนั้นแห้ง